
1.คนที่ไม่รับฟังผู้อื่น
คนประเภทนี้ มักคิดว่าตัวเองเก่งและรู้ดีที่สุด ในการทำงานแต่ละเรื่องจนขาดการรับฟังผู้อื่นเพราะมองว่าเสียเวลาและเข้าใจดีอยู่แล้วโดยลืมมองไปว่า
การทำงานอาจต้องเปลี่ยนวิธีการใหม่ๆ เพื่อให้เกิดการพัฒนาวิธีการรับมือกับคนแบบนี้ทำใจเยอะๆ ปล่อยวางเชิงอารมณ์เยอะๆ ก่อนที่เราจะ สื่ อ ส า ร กับเขาและ
เตรียมข้อมูลที่จะ สื่ อ ส า ร ให้แปลกและแตกต่างจนเขาคาดไม่ถึงและพร้อมรับฟังในสิ่งที่เกิดขึ้น หากคนที่ไม่รับฟังเป็นหัวหน้างานเรา และ
เราได้นำเสนอข้อมูลไปให้พิจารณาแล้วหากเขาไม่ตัดสินใจจงก้มหน้าก้มตาทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุดในสิ่งที่ทำได้เต็ม 100 %ต่อไปหรือหากรู้สึกไม่มีความสุข ในการทำงานกับคนแบบนี้จงมองทางเลือกอื่นๆ ไว้บ้างครับ เพราะชีวิตไม่มีทางตัน
2.คนที่พูดไม่คิด
คนประเภทนี้ มักใช้อารมณ์ เป็นใหญ่ มักจะพูดโดยไม่สนใจคนอื่นจนบางครั้งทำให้คนฟัง เสียหายเสียหน้าเสียใจ และเสียความรู้สึกและมักไม่รู้ตนเองหรือ หากรู้ตนเองก็ไม่ทันที่จะดึงคำพูดนั้นกลับคืนมา
วิธีการรับมือกับคนแบบนี้อย่าไปเก็บคำพูดของคนเหล่านี้ มาทำให้ใจเป็นทุกข์ครับปล่อยวางได้ก็ควรปล่อยวางและโฟกัสสิ่งที่ทำตรงหน้าให้ดีที่สุดยกเว้นเรื่องที่เขาพูดถึงแม้จะทำให้เราเสียใจแต่ถ้าเป็นจริงอย่างที่เขาพูดก็ควรพิจารณานำไปปรับปรุงตนเองต่อไปครับ
3.คนที่ขาดสัมมาคารวะผู้อื่น
คนประเภทนี้ มักไม่ค่อยยิ้มไม่ค่อยไหว้ให้เกียรติต่อคนที่อาวุโสมากกว่าเพราะคิดว่าตนเองนั้นมีความสามารถวิธีการรับมือกับคนแบบนี้ให้เกียรติต่อคนเหล่านี้ ก่อนครับ เพราะบางครั้งเขาอาจต้องการให้คนอื่นมาให้เกียรติต่อตัวเขาก่อนก็ย่อมได้ดังนั้น เราอย่าไป โ ต้ แ ย้ ง
ในสิ่งที่เขาเป็น แต่ให้ใช้ใจแลกใจกับเขาเพื่อทำให้เขาเห็นว่าการเคารพซึ่งกันและกันโดยเฉพาะต่อผู้หลักผู้ใหญ่นับเป็นความงดงามที่ควรทำในองค์กร
4.คนที่มักกังวลตลอดเวลา
คนประเภทนี้มักขี้กลัวและไม่มั่นใจ เวลาที่ต้องทำสิ่งใหม่ๆจนขาดการลงมือทำที่มากพและไม่กล้าเสนอแนะความคิดได้แต่รอคำสั่งให้ทำเพียงเท่านั้น
วิธีการรับมือกับคนแบบนี้หากเรามีลูกน้องประเภทนี้ ควรให้กำลังใจและพร้อมรับฟังในการมอบหมายงานทุกๆ ครั้งว่าสามารถทำงานได้ตามเวลาที่กำหนดหรือเปล่า ถึงแม้งานอาจจะเร่งด่วนแต่ต้องพร้อม
ให้โอกาสเขาพูดถึงกรอบเวลาที่สามารถทำได้ รวมถึงการป้อนงานใหม่ๆ โดยค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไปอย่าไปเร่งรีบมากเกินขอบเขต
5.คนเฉื่อย
คนประเภทนี้มักทำงานไปเรื่อยๆ ทำแบบเดิมๆ ถึงแม้จะมีวิธีการที่ดีกว่าแต่ก็ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงตนเองขาดความมุ่งมั่น ทำงานค่อนข้างช้าไม่สนใจว่าคนอื่นที่รับงานต่อว่าจะเป็นอย่างไร ทำงานทันเวลาไหมเพราะส่งงานล่าช้าทุกทีวิธีการรับมือกับคนแบบนี้
ต้องทำใจเยอะๆ หากหวังว่าเขาจะเปลี่ยนแปลงตนเองในทันทีแต่คนเราต้องมีความหวังครับถึงแม้จะริบหรี่ 555 คนประเภทนี้ที่เขาไม่เปลี่ยนแปลงอาจเพราะขาดความรู้ความเข้าใจในสิ่งใหม่ๆการสนับสนุนให้เขา ได้ไปเปิดโลกสร้างมุมมองใหม่ๆ
เติม พ ลั ง ให้ชีวิตนับว่าเป็นสิ่งที่ดีโดยส่งไปอบรม ภายนอกองค์กร หรือให้ลองทำงานใหม่ๆ อาจทำให้เขาเปลี่ยนแปลงตนเองก็ย่อมได้ครับ
6.คนที่ชอบ ฆ่ า น้ อ ง ฟ้ อ ง น า ย ข า ย เ พื่ อ น
คนประเภทนี้ ค่อนข้างน่ากลัว ปากกับใจไม่ค่อยตรงกันไม่เคยมองคนอื่นในแง่ดี อิจฉาคนไปวันๆวิธีการรับมือกับคนแบบนี้อยู่ห่างๆ จะดีที่สุด แต่หากต้องทำงาน ร่วมกัน ต้องยอมรับและเน้นความเป็นมืออาชีพคือประสานงานเท่าที่จำเป็นต้องทำมีแผนสำรองเผื่อไว้
กรณีที่คนประเภทนี้แกล้งเราอย่าประมาท ครับ และหากไม่ต้องทำงานด้วยก็ควรอยู่ห่างๆ ไว้ย่อมปลอดภัยที่สุด
7.คนที่ชอบกินแรงเพื่อนไม่ค่อยทำงาน
คนประเภทนี้ไม่ค่อยชอบลงมือทำงานแต่ชอบพูดคุยโม้โอ้อวดไปวันๆว่าเก่งอย่างนั้นอย่างนี้พอจะทำงานก็หมดเวลาเลิกงานกลับบ้าน
วิธีการรับมือกับคนแบบนี้ให้กำลังใจเขา พูดในแง่ดีถึงความสามารถ ของเขาที่เขามีให้เขาเกิดความภาคภูมิใจและกล้าลงมือทำให้เห็นประจักษ์กับสายตาผู้อื่น
อย่าไปว่าเขาในแง่ ร้ า ย คนพวกนี้ชอบต่อต้านครับ แรงมาก็อย่าไปแรงกลับควรผ่ อ นหนักเป็นเบาจะดีกว่าครับ
8.คนที่ชอบนินทาคนอื่น
คนประเภทนี้วันๆ ไม่ค่อยทำงานชอบจับกลุ่ม นินทาว่า ร้ า ย คนอื่นเพราะมักมองคนอื่นในการจับผิดมากกว่าการจับถูก มักคุยกันเป็นกลุ่มเป็นก้อนต่อหน้าอย่างลับหลังอย่างโดยเฉพาะการจับกลุ่มนินทาหัวหน้าตนเองเห็นแล้วเพลียครับวิธีการรับมือกับคนแบบนี้
หากเจอคนเหล่านี้ ชวนไปคุยด้วยคำว่า ม า ร ย า ท ไม่ควรหลีกหนีแต่ก็ไม่ควรพูดสมทบแค่รับฟังเพราะไม่อยากมีปัญหากับใครทั้งนั้น หรือ
ถ้าไม่อยากเสียเวลาในการทำงานไปนั่งรับฟังเรื่อง ไ ร้ ส า ร ะ ก็ปฏิเสธออกไปโดยอ้างงาน ที่เยอะต้องรีบสะสาง แต่ต้องรู้จักพูดนะครับเพื่อไม่ให้คนเหล่านี้รับรู้ว่าเรานั้นไม่อยากฟัง
9.คนที่ชอบเงียบ ไม่ค่อย สื่ อ ส า ร กับคนอื่น
มาถึงประเภทสุดท้ายแล้วนะครับ คนประเภทนี้มีนิสัยที่ค่อนข้างเก็บตัวไม่ค่อยสุงสิงกับใครในออฟฟิศเวลาทำงานหากรับเรื่องมาก็เงียบเหมือนเดิม ไม่แจ้งความเคลื่อนไหวให้คนที่ประสานงานรู้ว่า
งานไปถึงไหนแล้วส่งอีเมล์ไปก็ไม่เคย ตอบกลับรับปากว่าจะทำแต่ก็เงียบเหมือนเดิมวิธีการรับมือกับคนแบบนี้หากต้องประสานงาน กับคนที่ชอบเงียบนั้น เราควรติดต่อ สื่ อ ส า ร 2 ทาง
โดยการส่งอีเมล์ไปแจ้งข้อมูลและจากนั้นควรโทรหา หรือเดินไปพูดคุยกับคนประสานงาน ถึงงานที่แจ้งไปเพื่อพูดคุยมากกว่ารอการตอบกลับผ่านอีเมล์เพียงอย่างเดียว
การส่งอีเมล์เพื่อเป็นการบันทึกข้อมูลเชิงลายลักษณ์อักษร เพื่อเป็นหลักฐานในการประสานงาน แต่ก็ไม่เท่ากับการพูดคุยกันเยอะๆเพื่อรับฟังข้อมูลป้อนกลับจากผู้ รั บ ส า ร เพื่อความเข้าใจที่ตรงกันในการทำงานนะครับ